เขตสิทธิพิเศษทางภาษีอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร มี 2 ประเภทดังนี้
1.คลังสินค้าทัณฑ์บน
กำหนดขึ้นเพื่อเป็นคลังสินค้าสำหรับเก็บสินค้านำเข้าโดยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีอากรด้วย จึงมีความแตกต่างจากคลังสินค้าทั่วไปโดยสามารถเก็บสินค้านำเข้าได้นานกว่าและนำออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนได้ตามจำนวนที่ต้องการโดยไม่ต้องนำออกทั้งจำนวนที่นำเข้าและชำระภาษีอากรเฉพาะส่วนที่นำออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนนั้น หากมีความประสงค์หรือมีความจำเป็นต้องส่งกลับออกไปต่างประเทศจะได้รับสิทธิงดเว้นอากรขาเข้าและขาออกจึงเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ค้า นอกจากนี้ยังสามารถประกอบการในคลังสินค้าทัณฑบน ทั้งนี้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและระเบียบปฏิบัติที่กรมศุลกากรกำหนด เช่น คลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้าและคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับจัดแสดงสินค้าหรือนิทรรศการ (คสท.) เป็นต้น
2.เขตปลอดอากร
หมายถึง เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาห กรรม พาณิชย์กรรมหรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศโดยของที่นำเข้าไปในเขตดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ
ดังนั้นคลังสินค้าทัณฑบนจึงมีลักษณะเป็นคลังสินค้าเดี่ยวเพื่อรับฝากสินค้า หรือเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตร่วมกับวัตถุดิบภายในประเทศเพื่อผลิตเป็นสินค้าแล้วส่งออกไปต่างประเทศหรือเป็นคลังสินค้าทัณฑบนประเภทอื่นๆตามที่กฎหมายว่าด้วยศุลกากรและระเบียบปฏิบัติที่กรมศุลกากรกำหนด แต่หลายคนเข้าใจว่าเขตปลอดอากรเป็นเขตสิทธิพิเศษทางภาษีอากรประ เภทเดียวกับคลังสินค้าทัณฑบนแต่ได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่าคลังสินค้าทัณฑบนและมีระบบควบคุมทางบัญชีเข้มงวดน้อยกว่าคลัง สินค้าทัณฑบน จึงสามารถอำนวยความสดวกในการโอนย้ายวัตถุดิบระหว่างโรงงานที่อยู่ในเขตปลอดอากรเดียวกัน แต่ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและระเบียบปฏิบัติของกรมศุลกากร เขตปลอดอากรมีความแตกต่างที่สำคัญจากคลังสินค้าทัณฑบน ดังนี้
1.การจัดตั้งเขตปลอดอากรถือเป็นโครงการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ให้เป็นเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือการพณิชยกรรมเพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ประ กอบการที่ต้องการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมหรือศูนย์บริการที่เกี่ยวข้องในเขตปลอดอา กรโดยผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องจัดให้มีระบบสาธารณูปโภคเพื่อรักษาสภาพ แวดล้อมและสามารถอำนวยความสดวกกับผู้ที่จะเข้ามาประกอบการในเขตปลอดอากร ทั้งนี้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงมีลักษณะอย่างเดียวกับนิคมอุตสาห กรรมแต่มีข้อแตกต่างที่การขอจัดตั้งและการบริหารจัดการภายในนิคมอุตสาหกรรมต้องเป้นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและอยู่ในการกำกับควบคุมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
สำหรับเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือการพณิชยกรรมบางแห่งที่ตั้งก่อน อาจขออนุมัติจัดตั้งเป็นเขตปลอดอากรภายหลังเพื่อเพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์โดยกำหนดให้เป็นเขตสิทธิพิเศษทางภาษีอากรต่อไป
2.การขอจัดตั้งเขตปลอดอากรแบ่งออกได้เป็น๒ขั้นตอนโดยขั้นตอนแรกผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องยื่นขออนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากรต่อ ส่วนหลักเกณฑ์สิทธิประโยชน์ สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร กรมศุลกากร ภายหลังได้รับอนุมัติเป็นเขตปลอดอากรแล้ว ผู้ประสงค์จะประกอบกิจการในเขตปลอดอากรจะต้องยื่นคำขอเป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรต่อกรมศุลกากรเช่นเดียวกัน
ดังนั้นผู้ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีอากรของเขตปลอดอากรจึงมิใช่ผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรแต่เป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรที่ได้รับอนุมัติจากกรมศุลกา กรแต่อาจรวมถึงผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรเอง หากได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรด้วย
3.เขตปลอดอากร ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย จึงมีฐานะเป็นชุมชนอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ ๒๕๓๕ นอกจากนี้ยังต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินพ.ศ๒๕๔๓ด้วย การดำเนินการก่อสร้างชุมชนอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมมีค่า ใช้จ่ายสูงจึงต้องเป็นโครงการขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถลดต้นทุนต่อหน่วยให้ต่ำลง
ดังนั้นการตัดสินใจเลือกเขตสิทธิพิเศษทางภาษีอากรแบบใดจึงต้องพิจารณาความเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะการประกอบการของตนเพื่อให้สามารถลดต้นทุนด้านภาษีอากรในการผลิตสินค้าหรือการให้บริการเป็นสำคัญ
เครดิต : chanidservice
เรียบเรียงโดย : โรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ