Maritime Transport of Dangerous Goods

การขนส่งสินค้าทางทะเล เป็นส่วนประกอบที่สําคัญส่วนหนึ่งของ ระบบการค้าระหว่างประเทศ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต เพราะเป็นเพียงการขนส่งชนิดเดียวที่ขนสินค้าได้คราวละมากๆ และค่าระวางมีราคาถูกกว่าการขนส่งในรูปแบบอื่น ๆ การขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกของไทยเป็นการขนส่งทางทะเลเป็นส่วนใหญ่ดังนั้นการขนส่งสินค้าทางทะเลจึงเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนําเข้าและส่งออกสินค้าจึงควรจะศึกษาและทําความเข้าใจในองค์ประกอบต่างๆ ที่สําคัญเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางทะเล

การขนส่งสินค้าอันตรายนิยมใช้การขนส่งทางทะเลเป็นหลัก และไม่ใช่ผู้ขนส่งรายใดก็ได้ ต้องเป็นผู้ขนส่งที่มีความตระหนักถึงความปลอดภัย ต้องมีทรัพยากรที่พร้อมต่อการวางแผน และเตรียมความพร้อมระดับสูง ในแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างต้องตระหนักถึงความปลอดภัย และปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างเคร่งขัด ตั้งแต่การจัดเตรียมเอกสาร การติดฉลาก ป้ายสัญลักษณ์ รวมถึงการปฏิบัติตามกฏหมายจราจรอย่างเข้มงวด

สินค้าอันตราย

ท่าเรือกรุงเทพให้บริการสินค้าอันตราย ตามประมวลข้อบังคับ ว่าด้วยการขนส่งสินค้าอันตรายทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Dangerous Goods Code – IMDG Code) โดยแบ่งวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับสินค้าอันตราย 9 ประเภท ออกเป็น 3 กลุ่ม ตามระเบียบ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าอันตรายของท่าเรือกรุงเทพ พ.ศ. 2550 ดังนี้

กลุ่มที่ 1 สินค้าอันตรายที่ไม่อนุญาตให้ทำการขนถ่ายหรือบรรทุกลงเรือในเขตท่าเรือกรุงเทพ ยกเว้นสินค้าอันตรายที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องจักร ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 2

กลุ่มที่ 2 สินค้าอันตรายที่อนุญาตให้ทำการขนถ่ายในเขตท่าเรือกรุงเทพได้ แต่ไม่รับฝากเก็บ ต้องนำออกจากเขตท่าเรือกรุงเทพทันทีที่ขนถ่ายขึ้นจากเรือ (สำหรับสินค้าอันตรายขาเข้า) หรือ ไม่อนุญาตให้ทำการบรรจุตู้ในเขตท่าเรือกรุงเทพ ต้องบรรทุกลงเรือโดยตรง (สำหรับสินค้าอันตรายขาออก

กลุ่มที่ 3 สินค้าอันตรายที่อนุญาตให้ทำการขนถ่ายหรือบรรจุตู้สินค้าในเขตท่าเรือกรุงเทพได้ และสามารถฝากเก็บได้ ไม่เกิน 5 วันทำการ รายละเอียดขั้นตอนการนำเข้าและส่งออกสินค้าอันตรายของท่าเรือกรุงเทพ สามารถดูได้จาก ระเบียบ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าอันตรายของท่าเรือกรุงเทพ พ.ศ. 2550

สินค้าอันตราย (Dangerous Goods) หมายถึง สิ่งของ หรือวัตถุที่มีคุณสมบัติทางเคมีหรือทางกายภาพโดยตัวของมันเอง หรือเมื่อสัมผัสกับสารอื่น (อากาศ หรือ น้ำ ฯลฯ) ทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ ทรัพย์สิน หรือต่อสภาพแวดล้อม

สหประชาชาติ (United Nations) ได้จัดทำข้อแนะนำในการขนส่งสินค้าอันตราย (Recommendations on the Transport of Dangerous Goods) มีรายละเอียดเกี่ยวกับ

– การจำแนกประเภทสินค้าอันตราย (Classification)

– การบรรจุหีบห่อ (Packaging)

– การติดป้าย, ฉลาก (Labelling) และ

– การขนส่งสินค้าอันตรายที่บรรจุในถัง (Tank Transport)

ในข้อแนะนำนี้ได้มีบัญชีวัตถุหรือสารอันตราย ซึ่งส่วนใหญ่ทำการขนส่งกันเป็นประจำโดยสหประชาชาติ ได้กำหนดตัวเลขสี่หลักเรียกว่า UN Number (UN NO.) ใช้แทนชื่อสินค้าแต่ละตัว

องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization) หรือ IMO ได้จัดทำข้อบังคับและข้อที่ควรปฏิบัติระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการขนส่งสินค้าอันตรายทางทะเล เรียกว่า International Maritime Dangerous Goods Code หรือ IMDG-Code

IMDG-Code ได้กำหนดกฎเกณฑ์ไว้เป็นการเฉพาะ ในเรื่องของ

– การจำแนกประเภทสินค้าอันตราย (Classification)

– การแสดงสินค้าอันตราย โดยใช้เครื่องหมายและการปิดฉลาก (Identification, Marking, Labelling and Placarding)

– เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (Documentation)

– การบรรจุหีบห่อ (Packaging)

– การแยกเก็บ (Segregation)

– สินค้าอันตรายที่ขนส่งในลักษณะสินค้าทั่วไป (General Cargo)

– สินค้าอันตรายในระบบตู้สินค้า (Containerized Cargo)

– สินค้าอันตรายที่ขนส่งในลักษณะสินค้ากอง (Bulk Transport)

– สารที่ทำให้เกิดมลภาวะทางทะเล (Marine Pollutant)

ใน IMDG-Code ได้เสนอแนะแนวทางแผนจัดการฉุกเฉินของสินค้าอันตรายแต่ละชนิด (Emergency Schedules หรือ EmS) และการปฐมพยาบาล (Medical First Aid Guide) หรือ MFAG สินค้าอันตราย (Dangerous Goods) 9 ประเภท

สินค้าอันตราย ประเภทที่ 1 วัตถุระเบิด (Explosives)

CLASS 1 วัตถุระเบิด (Explosives)

หมายถึงวัตถุที่สามารถระเบิดได้ เมื่อได้รับความร้อน ประกายไฟ เปลวไฟ หรือเมื่อเกิดการเสียดสี กระทบกระเทือน หรือถูกกระทำโดยตัวจุดระเบิด แยกเป็น 5 ประเภทย่อย คือ

1.1 วัตถุหรือสิ่งของที่ก่อให้เกิดอันตรายจากการระเบิดอย่างรุนแรงฉับพลัน

1.2 วัตถุหรือสิ่งของซึ่งอาจก่ออันตรายโดยการกระจายของสะเก็ดระเบิดแต่มิใช่โดยระเบิดอย่างรุนแรงฉับพลัน

1.3 วัตถุหรือสิ่งของที่อาจก่ออันตรายโดยเปลวไฟพร้อมกับอันตรายจากการระเบิดบ้างเล็กน้อย แต่มิใช่จากการระเบิดอย่างรุนแรงฉับพลัน

1.4 วัตถุหรือสิ่งของที่ไม่ก่ออันตรายมากนักอาจติดไฟได้หรือประทุได้ในระหว่างการขนส่ง

1.5 วัตถุหรือสิ่งของที่ไม่ไวต่อการระเบิด จนโอกาสที่จะระเบิดนั้นมีน้อย หรือการเปลี่ยนขั้นจากการลุกไหม้เป็นการจุดระเบิดมีน้อยในขั้นการขนส่งปกติ แต่ถ้ามีการขนส่งเป็นจำนวนมากก็ทำให้การไหม้นั้น นำไปสู่การระเบิดได้

1.6 วัตถุซึ่งไม่ไวเป็นอย่างยิ่งต่อการเกิดอันตรายโดยการระเบิด โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือการกระจายของวัตถุมีน้อยมาก

ตัวอย่าง เช่น ดินปืน, กระสุนปืน, ลูกระเบิด, Nitrocellulose, Liquid Nitroglycerine, Dynamite, Ammonium dichromate, Ammonium nitrate ที่มีส่วนผสมของวัตถุที่เผาไหม้ได้เกิน 0.2% (UN.0222, 0223)

สินค้าอันตราย ประเภทที่ 2 ก๊าซ (Gases)

CLASS 2 ก๊าซ (Gases)

หมายถึง สารที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส มีความดันไอมากกว่า 300 กิโลปาสกาล หรือมีสภาพเป็นก๊าซอย่างสมบูรณ์ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส และมีความดัน 101.3 กิโลปาสกาล ได้แก่ ก๊าซอัด ก๊าซพิษ ก๊าซในสภาพของเหลว ก๊าซในสภาพของเหลวอุณหภูมิต่ำ และรวมถึงก๊าซที่ละลายในสารละลายภายใต้ความดัน เมื่อเกิดการรั่วไหลสามารถก่อให้เกิดอันตรายจากการลุกติดไฟ และ/หรือเป็นพิษ และแทนที่ออกซิเจนในอากาศ แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้

2.1 ก๊าซไวไฟ (Flammable Gases) หมายถึง ก๊าซที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียสและมีความดัน 101.3 กิโลปาสกาล สามารถติดไฟไดเมื่อผสมกับอากาศ 13 เปอร์เซ็นต์ หรือต่ำกว่าโดยปริมาตร หรือมีช่วงกว้างที่สามารถติดไฟได้ 12 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปเมื่อผสมกับอากาศโดยไม่คำนึงถึงความเข้มข้นต่ำสุดของการผสม โดยปกติก๊าซไวไฟหนักกว่าอากาศ ตัวอย่างของก๊าซกลุ่มนี้ เช่น อะเซทิลีน ก๊าซหุงต้มหรือก๊าซแอลพีจี เป็นต้น

2.2 ก๊าซไม่ไวไฟและไม่เป็นพิษ (Non-flammable Non-toxic Gases) หมายถึง ก๊าซที่มีความดันไม่น้อยกว่า 280 กิโลปาสกาล ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส หรืออยู่ในสภาพของเหลวอุณหภูมิต่ำ ส่วนใหญ่เป็นก๊าซหนักกว่าอากาศ ไม่ติดไฟและไม่เป็นพิษ หรือแทนที่ออกซิเจนในอากาศและทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนออกซิเจนได้ ตัวอย่างของก๊าซกลุ่มนี้ เช่น ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ อาร์กอน เป็นต้น

2.3 ก๊าซพิษ (Poison Gases) หมายถึง ก๊าซที่มีคุณสมบัติเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือถึงแก่ชีวิตได้จากการหายใจ โดยส่วนใหญ่หนักกว่าอากาศ มีกลิ่นระคายเคือง ตัวอย่างของก๊าซในกลุ่มนี้ เช่น คลอรีน เมทิลโบรไมด์ เป็นต้น

สินค้าอันตราย ประเภทที่ 3 ของเหลวไวไฟ (Flammable liquids)

CLASS 3 ของเหลวไวไฟ (Flammable liquids)

หมายถึง ของเหลว หรือของเหลวผสมที่มีจุดวาบไฟ (Flash Point) ไม่เกิน 60.5 องศาเซลเซียสจากการทดสอบด้วยวิธีถ้วยปิด (Closed-cup Test) หรือไม่เกิน 65.6 องศาเซลเซียสจากการทดสอบด้วยวิธีถ้วยเปิด (Opened-cup Test) ไอของเหลวไวไฟพร้อมลุกติดไฟเมื่อมีแหล่งประกายไฟ ตัวอย่างเช่น อะซีโตน น้ำมันเชื้อเพลิง ทินเนอร์ เป็นต้น ของเหลวเหล่านี้จะให้ไอระเหยที่ไวไฟสามารถติดไฟได้ที่อุณหภูมิ 61 องศาเซลเซียส (141° F ) c.c.* หรือที่อุณหภูมิต่ำกว่า แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

3.1 ของเหลวที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า -18 องศาเซลเซียส (0° F) c.c.* ได้แก่ กาว (Adhesives) ที่มีของเหลวไวไฟที่มีจุดวาบไฟต่ำผสม, Allyl chloride, Amyl nitrate, Hexane, Methyl formate, Chlorobuthanes, Cychlohexene, Diethylamine, Diethyl ether เป็นต้น

3.2 ของเหลวที่มีจุดวาบไฟปานกลาง ระหว่าง -18 องศาเซลเซียส (0° F) c.c.* ถึง 23 องศาเซลเซียส c.c.* เช่น กาว (Adhesives) ที่มีจุดวาบไฟปานกลางผสม, Acetone oil, Allyl acetate, Allyl alcohol, Allyl bromide, Isobutyl acetate, Benzene, 2-bromobutane เป็นต้น

3.3 ของเหลวที่มีจุดวาบไฟสูง โดยมีจุดวาบไฟ 23 องศาเซลเซียส (73° F) c.c.* ถึง 61 องศาเซลเซียส (141° F) c.c.* เช่น Bromobenzene, Buthyl acetate, Chlorobenzene, Cyclohexylamine, Styrene monomer, Ethyl alcohol, Solvent, Xylene เป็นต้น

  • หมายเหตุ* : c.c.* = CLOSED CUP

สินค้าอันตราย ประเภทที่ 4 ของแข็งไวไฟ

CLASS 4 ของแข็งไวไฟ สารที่มีความเสี่ยงต่อการลุกไหม้ได้เอง และสารที่สัมผัสกับน้ำแล้วทำให้เกิดก๊าซไวไฟ (Flammable Solids, Substances Liable to spontaneous combustion, Substances whice in contact with water emit flammable gases)

วัตถุที่จัดไว้ในประเภทนี้ เป็นวัตถุที่เป็นอันตราย อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอัคคีภัยได้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทย่อย คือ

4.1 ของแข็งไวไฟ (Flammable Solids) ของแข็งประเภทนี้ติดไฟได้ง่าย เป็นอันตรายเมื่ออยู่ใกล้กับแหล่งที่ทำให้เกิดการติดไฟ ได้แก่ บริเวณที่มีประกายไฟและเปลวไฟทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ หากมีการเสียดสี ก็สามารถทำให้เกิดไฟไหม้ได้ เช่น ไม้ขีดไฟ, การบูน (Camphor), Celluloid, ผงกำมะถัน, Phosphorus trisulfide, Hexamethylenetetramine, เศษยาง ชิ้นส่วนเล็กๆ ของยาง ลักษณะเป็นเม็ด หรือผงผงอลูมิเนียม (ชนิดเคลือบ) เป็นต้น

4.2 วัตถุที่อาจจะลุกไหม้ได้เอง (Substances Liable to Spontaneous Combustion) เป็นของแข็งที่สามารถให้ความร้อนและลุกไหม้ได้เอง หรือให้ความร้อนสูงเมื่อสัมผัสกับอากาศทำให้เกิดการลุกไหม้ได้ เช่น Aluminum alkyl, Activated carbon, Carbon black, Potassium hydrosulfite (anhydrous), Sodium sulfide (anhydrous), ผงอลูมิเนียม (ชนิดpyrophoric) เป็นต้น

4.3 วัตถุที่สัมผัสกับน้ำแล้วให้ก๊าซไวไฟ (Substances whice in contact with water emit flammablegases) วัตถุนี้เมื่อสัมผัสกับน้ำแล้วให้ก๊าซไวไฟในปริมาณที่เป็นอันตราย ในบางกรณีก๊าซนี้สามารถจุดติดไฟได้เอง เช่น โลหะผสม (Alkali-earth metal), Aluminum carbide, Barium, Calcium, Calcium silicide, Phosphorus pentasulphide (ชนิดปราศจากฟอสฟอรัสขาวหรือเหลือง) จะใช้สัญลักษณ์ประเภท 4.3 และ 4.1

หมายเหตุ : วัตถุที่เป็น ชนิด pyrophoric เช่น ของแข็งหรือของเหลวใดๆ ที่สามารถจุดติดไฟได้เองในบรรยากาศที่มีอุณหภูมิประมาณ 54.4 องศาเซลเซียส

สินค้าอันตราย ประเภทที่ 5 วัตถุออกซิไดซ์และวัตถุอินทรีย์เปอร์ออกไซด์

CLASS 5 วัตถุออกซิไดซ์และวัตถุอินทรีย์เปอร์ออกไซด์ (Oxidizing substances and Organic peroxides)

แยกเป็น 2 ประเภทย่อย คือ

5.1 วัตถุออกซิไดซ์ (Oxidizing substances) หมายถึงวัตถุที่สามารถให้ออกซิเจนออกมาโดยที่วัตถุนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดการ เผาไหม้หรือเป็นวัตถุที่ทำให้เกิดขบวนการ oxidationในลักษณะที่คล้ายกันทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ต่อวัตถุ อื่นที่วางไว้ใกล้เคียง และมีความรุนแรงยิ่งขึ้น เช่น Aluminum nitrate, Ammonium nitrate ชนิด A (UN 2067, 2068, 2059, 2070, 2426), ผงฟอกขาว (Bleaching powder), Calcium chlorate, Calcium chloride, Calcium hypochloride (solid), Calcium hypochloride (solution), Chromic nitrate, Chromium nitrate, Hydrogen peroxide solution 8-20%, Sodium nitrate เป็นต้น วัตถุออกซิไดซ์บางชนิดมีคุณสมบัติที่สำคัญอื่นๆ ด้วยเช่น Barium chlorate, Barium bromate, Barium nitrate, Chromium trioxide (anhydrous), Lead chlorate, Bromine pentafluoride, Bromine trifluoride

5.2 วัตถุอินทรีย์เปอร์ออกไซด์ (Organic peroxides) เป็นวัตถุอินทรีย์ที่มีโครงสร้างออกซิเจน 2 ตัว และอาจถือได้ว่าเป็นอนุพันธ์ของ Hydrogen peroxide ซึ่งอะตอมของ Hydrogen 1 หรือทั้ง 2 อะตอม ถูกแทนที่ด้วย อนุมูลของสารอินทรีย์ วัตถุนี้ไม่เสถียรสามารถสลายตัวให้ความร้อนรวดเร็วได้ด้วยตัวเองและอาจมี คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างดังต่อไปนี้

– แนวโน้มที่จะระเบิดสลายตัว

– เผาไหม้อย่างรวดเร็ว

– ไวต่อการกระแทก หรือการเสียดสี

– ทำปฏิกิริยากับสารอื่นก่อให้เกิดอันตรายได้

– เป็นอันตรายต่อตา

การที่วัตถุ Organic peroxides มีแนวโน้มที่จะให้ความร้อนออกมาในขณะทีอุณหภูมิในขณะนั้นปกติหรือในขณะที่ ได้รับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นนั้น การสลายตัวสามารถเกิดจากความร้อน การสัมผัสกับสิ่งสกปรก (เช่น มีการเจือปนของกรด, สารประกอบโลหะหนักหรือพวก amine) เกิดจากการเสียดสี หรือการกระแทก การสลายตัวนี้นำไปสู่อันตราย หรือการไวไฟมีก๊าซหรือไอระเหยต่างๆ ดังนั้น จึงต้องมีการควบคุมในขณะขนส่ง การทำให้เจือจางด้วยตัวทำละลายที่เหมาะสม ตลอดจนควบคุมในเรื่องบรรจุภัณฑ์หีบห่อที่เหมาะสมอีกด้วย ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้วัตถุนี้สัมผัสถูกตา เนื่องจากบางชนิดจะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อแก้วตา และกัดเนื้อเยื่อตาและผิวหนังได้ ตัวอย่างวัตถุประเภทนี้ได้แก่ Methyl Ethyl Ketone Peroxide, Cyclohexanone Peroxide, Methyl Isobutyl Ketone Peroxide, Asenyl acetone Peroxide เป็นต้น

สินค้าอันตราย ประเภทที่ 6 วัตถุมีพิษและวัตถุติดเชื้อ

CLASS 6 วัตถุมีพิษและวัตถุติดเชื้อ (Toxic and Infectious Substances)

แยกเป็น 2 ประเภทย่อย คือ

6.1 วัตถุมีพิษ (Toxic Sustances) วัตถุเหล่านี้อาจทำให้เสียชีวิตหรือทำให้เกิดการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงเมื่อ เข้าสู่ร่างกายโดยสัมผัสกับผิวหนัง หรือหายใจ หรือกลืนกินเข้าไป วัตถุมีพิษเกือบทุกชนิดจะให้ก๊าซพิษ เมื่อถูกเผาไหม้หรือได้รับความร้อนก็เกิดการสลายตัวและบางชนิดนั้นนอกจากจะ มีพิษแล้ว ยังมีคุณสมบัติ ที่เป็นอันตรายอื่นๆอีกด้วย ตัวอย่าง Arsenic, Arsenic trioxide, Arsenic trichloride, Arsenic tribromide, Barium cyanide, Chloronitrobenzene, Potassium cyanide, Dichloromethane, Barium chloride, Copper cyanide, Sodium cyanide, Sodiumsilicofluoride, Aniline

6.2 วัตถุติดเชื้อ (Infectious Substances ) เป็นวัตถุที่มีเชื้อจุลินทรีย์ (Micro organism) อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคในมนุษย์และสัตว์ โดยมีข้อสังเกต 2 ประการคือ

ประการ ที่ 1 จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมแล้วไม่เป็นไปตามคำ จำกัดความของวัตถุประเภท 6.2 ควรจะจัดให้อยู่ในประเภทที่ 9

ประการที่ 2 พิษของจุลินทรีย์ (Toxins) ที่ไม่เป็น หรือมีสารติดเชื้อควรพิจารณาให้อยู่ในประเภท 6.1 กำหนดตาม UN. 3172 ซึ่งเป็น Toxin ที่สกัดจากสิ่งมีชีวิต

สินค้าอันตราย ประเภทที่ 7 วัตถุกัมมันตรังสี

CLASS 7 วัตถุกัมมันตรังสี (Radioactive material)

หมายถึง วัตถุที่สลายตัวแล้วให้รังสีออกมามากกว่า 0.002 ไมโครคิวรีต่อ น้ำหนักของวัตถุนั้น 1 กรัม หรือ 70 k Bq/kg. รังสีนี้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเราสามารถรับรังสีได้ทั้งภายในและภายนอกร่าง กาย เช่น เมื่ออยู่ในบริเวณที่ใกล้วัตถุกัมมันตรังสีและได้สัมผัสกับรังสีที่ออกมา หรือการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนของสารรังสีเข้าไป คุณสมบัติของวัตถุกัมมันตรังสีมี 2 ลักษณะ คือ

– ให้ความร้อนและทำให้เกิดอันตรายอย่างรุนแรง

– สามารถแตกตัวให้ไอโซโทป เช่น พลูโตเนียม-238, พลูโตเนียม-239, พลูโตเนียม-241, ยูเรเนียม-233, ยูเรเนียม-235 หรือวัตถุใดๆที่มีสารไอโซโทปเหล่านี้อยู่ จัดเป็นวัตถุกัมมันตรังสี เช่น เรเดียม, ยูเรเนียม เป็นต้น

สินค้าอันตราย ประเภทที่ 8 วัตถุกัดกร่อน

CLASS 8 วัตถุกัดกร่อน (Corrosives Substances)

หมายถึง ของแข็ง หรือของเหลวซึ่งโดยปฏิกิริยาเคมีมีฤทธิ์กัดกร่อนทำความเสียหายต่อเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตอย่างรุนแรง หรือทำลายสินค้า/ยานพาหนะที่ทำการขนส่งเมื่อเกิดการรั่วไหลของสาร ไอระเหยของสารประเภทนี้บางชนิดก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อจมูกและตา ตัวอย่างเช่นกรดเกลือ กรดกำมะถัน โซเดียมไฮดรอกไซด์ เป็นต้น

สินค้าอันตราย ประเภทที่ 9 วัสดุอันตรายเบ็ดเตล็ด

CLASS 9 วัสดุอันตรายเบ็ดเตล็ด (Miscellaneous Dangerous Substances and Articles)

หมายถึง วัตถุและสิ่งของที่มีความเป็นอันตราย ซึ่งไม่จัดอยู่ในประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 8 และให้รวมถึงสารที่มีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 100 องศาเซลเซียสในสภาพของเหลว หรือมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 240 องศาเซลเซียสในสภาพของแข็ง เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรทชนิด B (UN.2071), Asbestos, Zinc hydrosulfite, PBC เป็นต้น

การท่าเรือแห่งประเทศไทย แบ่งกลุ่มประเภทสินค้าอันตรายตามที่ IMO กำหนดไว้ใน IMDG – Code ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มที่ 1 สินค้าอันตรายที่การท่าเรือฯ ไม่อนุญาตให้ทำการบรรทุกหรือขนถ่ายบริเวณหน้าท่า ณ ท่าเรือกรุงเทพ

กลุ่มที่ 2 สินค้าอันตรายร้ายแรง (สินค้าอันตรายประเภท ก ) การท่าเรือฯ อนุญาตให้ทำการบรรทุกหรือขนถ่ายในบริเวณท่าเรือกรุงเทพได้ แต่ต้องนำออกทันที่ที่ขนถ่าย (ขนถ่ายข้างลำเรือ )

กลุ่มที่ 3 สินค้าอันตรายนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในกลุ่มที่ 1 และ 2 (สินค้าอันตรายประเภท ข) การท่าเรือฯ จะรับฝากเก็บ ณ บริเวณที่ท่าเรือกรุงเทพกำหนด โดยมีระยะเวลาในการฝากเก็บไม่เกิน 5 วันทำการ นับจากวันเสร็จสิ้นการขนถ่าย

เครดิต : ท่าเรือกรุงเทพ, exim4U และ ITBS

โดย : โรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้ระหว่างประเทศ (ITBS)